การเงินโลกยุค 4.0 กับนิทานฉลองพระองค์พระราชา

สถานการณ์การเงินโลกทุกวันนี้ที่ประเทศมหาอำนาจใช้มาตรการ QE พิมพ์เงินออกมาใช้อย่างมหาศาล โดยที่ยังสร้างภาพมายาให้เห็นว่าเป็นมาตรการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจที่ได้ผล รวมไปถึงยุคแห่งการออกเหรียญดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีใหม่ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin Ethereum Ripple และอีกมากมาย ทำให้คนในโลกบางส่วนเชื่อและยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่า เลยทำให้ผมนึกกลับไปถึงนิทานที่เคยได้ฟังในสมัยเด็กๆ เรื่องฉลองพระองค์ของพระราชา

 

เรื่องมีอยู่ว่ามีพระราชาองค์หนึ่งทรงโปรดการแต่งองค์ทรงเครื่องมาก ฉลองพระองค์ทุกชุดที่มีก็ใส่จนหมดแล้ว เบื่อหน่ายมากกับทุกชุดที่มี จึงประกาศให้ประชาชนที่ทอผ้าได้สวยงามมาตัดชุดใหม่ให้พระองค์

 

ประชาชนต่างนำผ้าที่สวยงดงามที่ตนทอมาเสนอให้ขุนนางที่มีความรู้เรื่องผ้าดีเป็นคนคัดเลือกก่อน ผ้าที่ถูกคัดแล้วก็จะถวายพระราชาเพื่อให้ทอดพระเนตร แต่ไม่ทรงโปรดผ้าผืนใดเลย พระองค์จึงสั่งให้ประกาศออกไปให้ทั่วถึงอาณาจักรรอบข้าง หากใครทอผ้าได้สวยงดงามและมาตัดฉลองพระองค์ได้พอใจจะให้รางวัลอย่างงาม

 

สองนักต้มตุ๋นได้ข่าวจึงคิดวางแผนเพื่อจะได้รางวัลนี้ ทั้งสองปลอมตัวมาในฐานะช่างทอผ้า เมื่อผ่านเข้ามาถึงในเมืองก็แสดงตนว่าสามารถทอผ้าได้สวย และความงามของผ้าจะปรากฏต่อสายตาของผู้ที่มีปัญญาเท่านั้น หากใครที่ตาไม่ถึงหรือเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาก็จะมองไม่เห็นผ้าผืนนั้น

 

เสียงโจษจันในคำอวดอ้างของทั้งคู่ขจรไกลจนเข้ามาถึงหูขุนนางคนสนิทของพระราชา ขุนนางนั้นจึงนำข่าวมาทูล พระราชาจึงให้เชิญทั้งคู่เข้ามา เมื่อทั้งคู่ได้เข้าเฝ้าต่างก็กล่าวชื่นชมความสง่างามของพระองค์ และหากได้ทรงฉลองพระองค์ที่ทั้งคู่จะตัดขึ้นใหม่ ก็จะยิ่งทำให้สง่างามยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ

 

พระราชาทรงปลาบปลื้มและกระหายจะได้ทรงฉลองพระองค์ชุดใหม่ที่สวยงดงามตามคำอวดอ้างนั้น พระองค์จึงจัดห้องให้ทั้งคู่ได้ทอผ้าและตัดชุดในพระราชวัง และให้เงินทองเพื่อให้ทั้งคู่ไปจัดหาเส้นไหมด้ายทองบรรดามีอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ลงมือปิดห้องและจัดพื้นที่ทำงาน แล้วทำทีเหมือนทำเส้นไหม ผูกหูกทอผ้า ทั้งๆ ที่จริงๆ ไม่มีเส้นด้ายใดๆ เลย ทั้งคู่ง่วนอยู่กับการแสดงการถักทอผ้ามือเปล่าเจ็ดวันเจ็ดคืน

 

พระราชาเฝ้ารอผลงานอย่างกระวนกระวาย อยากรู้เหลือเกินว่าทำไปถึงไหนและงดงามเพียงใด จึงสั่งให้ขุนนางคนสนิทและช่างภูษาฝีมือเยี่ยมไปดูผลงานของช่างคู่นั้น เมื่อขุนนางและช่างภูษาไปเคาะประตูห้องทำงาน ช่างคนหนึ่งก็เปิดประตูแล้วเดินพากันมายืนที่รอบหูกทอผ้า ช่างที่กำลังทำท่าทออยู่จึงหยุดทอและถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรท่าน ลวดลายผ้านี้สวยงามเพียงใด ข้าทออย่างสุดฝีมือทีเดียว”

 

ทั้งขุนนางและช่างภูษาต่างงงสุดขีดเพราะไม่เห็นสิ่งใดเลยบนหูกทอผ้า ช่างที่พาเดินเข้ามาจึงชี้ชวนให้ก้มลงมองดูลายผ้าเพื่อจะได้เห็นความงามอย่างใกล้ชิด เพราะจะมีแต่ผู้ที่ตาถึงและฉลาดเฉลียวเท่านั้นที่จะแนะนำช่างทั้ง 2 ได้ ทั้งขุนนางและช่างภูษาต่างคิดในใจ โอเรานี้ตาต่ำและโง่เขลาขนาดที่ไม่เห็นผ้าที่สวยงามนี้เลยหรือ ทั้งคู่ได้แต่เก็บความคิดนี้ในใจ เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าตนตาต่ำและโง่เขลาทั้งสองจึงกล่าวพอใจความงามของลายผ้า ช่างทอผ้าดีใจมาก เขาบรรยายสรรพคุณความงามของลายผ้าอย่างละเอียดเพื่อที่ขุนนางจะได้ไปกราบทูลพระราชาต่อ

 

ขุนนางและช่างภูษากลับมาทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาทรงยินดีเป็นที่ยิ่ง แต่เรื่องความสวยงามเป็นเรื่องละเอียดอ่อน 2 คนดูอาจจะยังไม่พอจะเชื่อได้ จึงสั่งให้ช่างวาดภาพและนักเล่นพิณในวังที่ทรงคิดว่าน่าจะมีรสนิยมศิลปะและความงามไปดูผลงานอีก

 

การณ์ก็เป็นเช่นเดียวกันกับที่ขุนนางและช่างภูษาไปดูรอบแรก ไม่มีใครได้เห็นผ้าที่อ้างว่าสวยงามเลอเลิศ แต่ถ้าใครรู้ว่ามองไม่เห็นก็จะกลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ทั้งคู่จึงกลับมาถวายรายงานว่าเป็นผ้าที่สวยงดงามมากตามคำพรรณาของช่างทอ พระองค์จะต้องสง่างามในฉลองพระองค์ชุดใหม่อย่างแน่นอน

 

พระราชาได้ทราบก็เป็นปลื้มและมั่นใจว่าพระองค์จะสง่างามในฉลองพระองค์ชุดใหม่เป็นแน่แท้ สมควรที่จะได้ให้เหล่าราษฎรได้ชื่นชมพระบารมี จึงสั่งให้เตรียมการจัดขบวนเสด็จรอบเมืองเพื่ออวดความสวยงามของฉลองพระองค์ชุดใหม่

 

เมื่อฉลองพระองค์ชุดใหม่ตัดเสร็จเรียบร้อย ช่างทั้งสองคนจึงนำฉลองพระองค์ชุดใหม่มาถวายกลางที่ประชุมในท้องพระโรง แต่ก่อนหน้านั้นกิตติศัพท์ความงามของฉลองพระองค์ชุดใหม่ได้เป็นที่ทราบทั่วกันแบบปากต่อปาก จากสี่คนแรกที่ได้เห็นไปจนทั่วถึงคนทั้งวัง และเรื่องนี้ก็แพร่ไปถึงนอกวัง ประชาชนต่างเฝ้ารอดูฉลองพระองค์ใหม่ที่สุดแสนจะงดงามนั้น

 

ช่างทั้งสองเข้ามาในท้องพระโรงมือเปล่า แต่ทำทีเปิดแขนเหมือนกำลังช้อนฉลองพระองค์ไว้ ทุกคนในนั้นต่างตกตะลึง ไม่มีใครในที่นั้นมองเห็นฉลองพระองค์ ไม่เว้นแม้แต่องค์พระราชา แต่ทุกคนรู้เพียงว่ามีแต่คนโง่เขลาเบาปัญญาเท่านั้นที่จะมองไม่เห็น จึงไม่มีใครปริปากบอกความจริงว่าตนไม่เห็น ยอมเป็นคนอยู่เฉยๆ ยังดีเสียกว่าจะเป็นคนโง่ แถมยังมีคนอวดความฉลาดด้วยการเอ่ยชื่นชมความงามออกมาอีก

 

พระราชาเองก็ยิ่งงงสุดขีด แต่ด้วยสรรพคุณความสวยงามของผ้าวิเศษนี้จะมีแต่เพียงคนโง่เท่านั้นที่มองไม่เห็น โอ พระเจ้า ข้านี้ช่างโง่เขลาเสียยิ่งกว่าทุกคนในท้องพระโรงในขณะนี้หรือนี่ ที่ต่างมองเห็นและกำลังพร่ำพรรณาในความงามของฉลองพระองค์นี้

 

ขุนนางคนสนิททูลถามพระราชา “พระองค์จะไม่ทอดพระเนตรฉลองพระองค์ใหม่อย่างใกล้ชิดซักหน่อยหรือ” ที่ถามเช่นนั้นก็เพราะว่าบางทีพระราชาผู้มีสติปัญญาสูงส่งอาจจะมองเห็นฉลองพระองค์ผ้าวิเศษผืนนี้ พระราชาครุ่นคิด ทุกคนเห็นกันหมด ถ้าเราไม่เห็นคงจะเป็นที่ครหาในความโง่เขลาเป็นแน่ พระองค์จึงตรัสว่าช่างเป็นชุดที่สวยงามที่สุดที่เคยเห็น พยักหน้ายิ้มอย่างพอใจ ช่างจอมลวงโลกทั้งสองจึงทูลเชิญพระองค์ไปทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์ใหม่ ในระหว่างที่เปลื้องชุดเดิมและใส่ฉลองพระองค์ใหม่นั้น ช่างทั้งสองกล่าวย้ำถึงสรรพคุณแสนวิเศษที่นอกจากความสวยงามแล้ว มันช่างเป็นผ้าวิเศษที่โปร่งเบามากจนผู้สวมใส่ไม่รู้สึกถึงเนื้อผ้าวิเศษเลยแม้แต่น้อย ขุนนางคนสนิทที่ติดตามเข้าไปช่วยตบท้ายด้วยการสรรเสริญในความสง่างามของพระองค์เพิ่มความมั่นใจให้พระราชาเป็นยิ่งนัก

 

พระราชากลับเข้ามาในท้องพระโรงอีกครั้ง ทุกคนในท้องพระโรงตกตะลึง แต่กลับอุทานออกมา “โอ พระผู้เป็นเจ้า ช่างเป็นฉลองพระองค์ที่งดงามที่สุดเท่าที่โลกเคยมี” พระราชาหันมายิ้มให้ช่างวายร้ายทั้งสองและตบรางวัลเป็นทองถุงใหญ่และแต่งตั้งให้เป็นช่างภูษาหลวงประจำพระองค์ และกล่าวแก่ทุกคนในท้องพระโรง “เอาละ บัดนี้ถึงเวลาที่ประชาราษฎร์จะได้ชื่นชมพระบารมีของเราแล้ว” ว่าแล้วก็เดินนำเหล่าขุนนางข้าราชบริพารออกจากท้องพระโรงผ่านแถวทหารกองเกียรติยศสู่ทางออกกำแพงวังเพื่อไปตามเส้นทางเสด็จ

 

ประชาชนที่ยืนรอคอยตามเส้นทางเสด็จ เมื่อได้เห็นพระราชาในร่างเปลือยเปล่าไร้ภูษาก็ต่างตกใจ แต่ด้วยกิตติศัพท์ของผ้าวิเศษที่จะมีแต่เฉพาะผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะมองเห็นได้ จึงสงวนทีท่าไว้ ขืนมองไม่เห็นก็จะเป็นคนโง่ ตลอดทางเสด็จจึงมีแต่เสียงแซ่ซ้องในความงามของฉลองพระองค์ใหม่

 

และในบัดดลกลับมีเสียงเด็กน้อยคนหนึ่งแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงสดุดี “พระราชาแก้ผ้า พระราชาแก้ผ้า” และแล้วความเงียบกลับแทรกกลับเข้ามา และค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นเสียงขำขันและซุบซิบปนหัวเราะเยาะจากเหล่าราษฎรมาแทน และสองช่างทอผ้าจอมแสบก็ได้หายหัวไปจากเมืองเรียบร้อยแล้วทิ้งพระราชาในร่างเปลือยเปล่ายืนอยู่ท่ามกลางพสกนิกรที่กำลังขำขัน

 

จบแล้วสำหรับนิทานตลกร้ายที่ผมนึกถึง และเมื่อได้ทบทวนทาบกับสถานการร์การเงินโลกในขณะนี้ สิ่งที่ถูกที่ควร ไม่ทำ สิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร ดันทำ ยกตัวอย่างการแก้ปัญหาวิกฤติซัพไพรม์ในปี 2008 แทนที่จะใช้วิธีแฮร์คัทตัดหนี้เสียทิ้ง แล้วลดขนาดทรัพย์สินของกิจการหรือขายทรัพย์สินเพื่อมาล้างหนี้แบบที่ IMF ใช้กับประเทศต่างๆ แต่รัฐบาลสหรัฐกลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามคือเอาเงินภาษีเข้าไปอุ้มธนาคารที่มีปัญหา และแก้ปัญหาการหดตัวของเศรษฐกิจด้วยการเอาเงินในอนาคตมาใช้ ผ่านการขายพันธบัตรให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) พิมพ์เงินออกมาอัดฉีดใส่ระบบ เรียกชื่อมาตรการนี้อย่างหรูว่ามาตรการผ่อนคลายทางปริมาณ (Quantitative easing) หรือ QE ถ้ามาตรการนี้มี Fed เป็นผู้เสนอ มันก็ไม่ต่างกับการหลอกให้พระราชาใส่ชุดใหม่

 

การเอาภาษีปัจจุบันมาอุ้มธนาคาร แล้วยังเอาภาษีในอนาคตมาอัดฉีดระบบอีก เพื่อให้ธุรกิจใหญ่ๆ อยู่ได้ต่อไป มันเป็นการเอาเปรียบประชาชนสุดๆ ให้เศรษฐีล้มบนฟูก ไม่ต้องรับผิดชอบกับการปล่อยกู้ที่ไม่ระมัดระวัง ไม่ต้องรับผิดชอบความผิดพลาดจากการหากำไรในตลาดอนุพันธ์ เบื้องหลังความไม่เป็นธรรมนี้มาจากโครงสร้างรากฐานของประเทศสหรัฐที่แปลกที่สุดในโลกอย่างหนึ่ง นั่นคือธนาคารกลางสหรัฐไม่ใช่หน่วยงานหรือองค์การของรัฐบาล นี่คือเรื่องจริง ธนาคารกลางสหรัฐจัดตั้งขึ้นโดยมีหุ้นส่วนเป็นธนาคารใหญ่ทั้งในสหรัฐและยุโรปถือหุ้น มีการจ่ายเงินปันผลกลับไปที่ผู้ถือหุ้นปีละ 6% ประธานธนาคารกลางตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันเกือบทั้งหมดเป็นคนเชื้อสายยิว แม้ Fed จะเขียนพันธกิจสวยหรูว่าดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ แต่กระดุมเม็ดแรกก็กลัดมาไม่ถูกแล้ว จะให้ผลออกมาเป็นอย่างที่ประชาชนคาดหวังจึงค่อนข้างเลือนลาง

 

ในเมื่อสหรัฐใส่เสื้อซีทรูหลอกชาวโลก ทำไมคนอื่นจะทำบ้างไม่ได้ วิกฤติซัพไพรม์ลามกระทบไปทั่วโลกทั้งยุโรปและเอเชีย มาตรการ QE จึงถูกนำมาใช้บ้างทั้งในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป แม้แต่จีนก็ยังทำ Backdoor QE เรียกได้ว่าถ้าเธอเอาเงินมาเจือจาง ใครไม่เจือจางตาม ไปยึดอยู่กับเงินของเธอก็มีแต่เสียเปรียบ กลายเป็นว่าประเทศใหญ่ๆ ต่างยืนแก้ผ้าใส่กัน และงานนี้ก็ทำได้เฉพาะประเทศใหญ่ๆ เท่านั้นที่ยอมให้กัน ประเทศเล็กๆ แหยมมาทำก็จะโดนถอดหน้ากากประจานอย่างเช่น ซิมบับเว เวเนซูเอล่า จนเกิดภาวะ Hyperinflation ดังนั้นทางที่ปลอดภัยของประเทศเล็กๆ คือการยอมรับโดยดุษฎีตามกติกาที่รายใหญ่กำหนด เป็นความเสียเปรียบที่ต้องจำยอม

 

เมื่อโลกของสกุลเงินโลกขาดความน่าเชื่อถือ เงินแบบใหม่อย่างบิทคอยน์ (Bitcoin) ที่ใช้เทคโนโลยีแบบใหม่หนุนหลังความน่าเชื่อถือจึงเกิดขึ้น นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการการเอาเสื้อซีทรูไปใส่ให้สกุลเงินบิทคอยน์ แม้คุณค่าของบิทคอยน์อาจจะมีอยู่จริง แต่การที่ราคาของมันที่ขึ้นมาอย่างมหาศาล ทำให้ต้องกลับมาหาหลักยึดเพื่อทบทวนว่าคุณค่าที่แท้จริงมีพื้นฐานมาจากอะไร

 

บทสรุปของบทความนี้ก็คือในบางเวลา ความจริงอาจเป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ แต่จำเป็นที่จะต้องยอมรับในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง และเป็นบรรยากาศที่ชวนอึดอัดเพราะไม่รู้ว่าควรจะเลือกยืนข้างไหนดี เป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าโลกนี้อยู่ยาก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *